“อำเภอบ้านนาสาร” ได้รับอารยธรรมก่อนสมัยประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ มีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่อยู่ในเขตการปกครองของเมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช มณฑลนครศรีธรรมราช มณฑลชุมพร มณฑลสุราษฎร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามลำดับจนถึงปี พ.ศ. 2447 กระทรวงมหาดไทยได้โอนมาขึ้นกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เริ่มต้นประวัติศาสตร์ “วัดถ้ำขรม” บริเวณที่วัดถ้ำขรมมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ได้รับอารยธรรมมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ และมีมนุษย์ตั้งถิ่นฐานรอบอ่าวบ้านดอน ลุ่มแม่น้ำตาปี แม่น้ำพุมดวง แม่น้ำอิปัน คลองฉวาง คลองหา คลองลำพูน คลองยา คลองท่าสะท้อน มีหลักฐานความเจริญบริเวณบ้านน้ำรอบ บ้านท่าสะท้อน บ้านท่าเรือ บ้านควนท่าแร่ บ้านนาสาร ภูเขาถ้ำขรม เมืองเวียงสระ เคียนซา พระแสง ถึงสมัยประวัติศาสตร์วัดถ้ำขรม ท้องที่อู่มาต อยู่ในเขตการปกครองของอาณาจักรไชยา และเมืองนครศรีธรรมราช มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับประวัติศาสตร์สยาม สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยเรียกชื่อ “ท้องที่ลำพูน” ในอดีตรู้จักในนาม บ้านนา เนื่องจากประชาชนมีที่ทำนาจำนวนมากและเรียกตามท้องที่ตั้งหมู่บ้านหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรียกว่า บ้านนาและลำพูน ส่วนประชาชนในท้องถิ่นเรียกว่า“บ้านนา” จนถึงปี พ.ศ. 2354 เป็น “ท้องที่ลำพูน” ขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช เอกสารทางประวัติศาสตร์บันทึกว่า “ท้องที่ลำพูน เป็นแขวงชั้นนอกด้านใต้ต่อแดนเมืองกระบี่ ด้านตะวันตกต่อแดนเมืองพังงาและตะกั่วป่า ด้านตะวันออกต่อแดนเมืองกาญจนดิษฐ์” โดยดูแลท้องที่เวียงสระ ท้องที่ส้องห้วยมะนาว ท้องที่อิปัน ท้องที่ฉวางท่าชี ประกอบด้วย อำเภอถ้ำขรม อำเภอน้ำพุ อำเภอท่าชี โดยมี วัดโฉละ เป็นที่เลณฑุบาต (หมายเหตุ เมืองนครศรีธรรมราชก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 ได้จัดการปกครองเป็น ท้องที่ มีนายที่ดูแล อำเภอ มีนายอำเภอดูแล แขวง มีนายแขวงดูแล)
ปรากฏหลักฐาน ในทำเนียบข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช สมัยรัชกาลที่ 2 ปี พ.ศ. 2354 เกี่ยวกับข้าราชการที่ลำพูน ดังนี้ คือ “หลวงอินทรพิชัย นายที่ลำพูน ถือศักดินา ๘๐๐ ฝ่ายซ้าย ขุนเพชรกำแพง ปลัดถือศักดินา ๔๐๐ หมื่นเทพรักษา รอง ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นพรหมอักษร สมุห์บัญชี ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นจิตอักษร สมุห์บัญชี ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นสระบุรี เป็นสารวัตร ถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นเกล้าเป็นสารวัตร ถือศักดินา ๒๐๐ สิริ หลวงขุนหมื่นที่ลำพูน หลวง ๑ ขุน ๑ หมื่น รวม ๗ คน ” จนถึงปี พ.ศ. 2420 มีการจัดการปกครองท้องที่ลำพูน คือ แยกท้องที่เวียงสระและท้องที่ส้องห้วยมะนาวออกเป็น 2 อำเภอคือ อำเภอเวียงสระ และอำเภอบ้านส้อง อำเภอเวียงสระต่อมาเรียกชื่ออำเภอคลองตาล โดยมี วัดเวียง เป็นที่เลณฑุบาต ท้องที่ลำพูนได้ดูแลราชการท้องที่ดังกล่าวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 4 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5
สมัยเรียกชื่อ “อำเภอลำพูน” สมัยรัชกาลที่ 5 ได้จัดการปกครองประเทศสยาม ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องถิ่น ร.ศ.116 (พ.ศ. 2440) และข้อบังคับลักษณะการปกครองหัวเมือง ร.ศ.117 (พ.ศ. 2441) พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ได้จัดเขตการปกครอง เมืองนครศรีธรรมราช เป็น 9 อำเภอ คือ อำเภอกลางเมือง อำเภอเบี้ยซัด (ปากพนัง) อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอกลาย อำเภอสิชล อำเภอฉวาง อำเภอทุ่งสง อำเภอเขาพังไกร และอำเภอลำพูน ในส่วนอำเภอลำพูน จัดการปกครอง ดังนี้ คือ ยุบอำเภออิปันเป็นตำบลอิปัน ยุบอำเภอพะแสงเป็นตำบลพะแสง ยุบอำเภอพนมเป็นตำบลพนม มารวมกับตำบลที่มีอยู่ของท้องที่ลำพูน คือ ตำบลกอบแกบ ตำบลทุ่งเตา ตำบลท่าเรือ ตำบลบ้านนา ตั้งเป็น อำเภอลำพูน ตั้งที่ว่าการอำเภอที่ตำบลบ้านนา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กับวัดบ้านนาติดกับคลองลำพูน บริเวณที่ตั้งโรงพยาบาลบ้านนาเดิม จนถึงปี พ.ศ. 2442 (ร.ศ.118) แยกตำบลและตั้งตำบลขึ้นใหม่ คือ ตำบลเวียงสระ ตำบลทุ่งหลวง ตำบลท่าเรือ ตำบลพรุพี ตำบลอู่มาต (นาสาร) ตำบลลำพูน (กอบแกบ) ตำบลทุ่งเตา ตำบลท่าเรือ ตำบลบ้านนา ย้ายที่ว่าการอำเภอลำพูน (บริเวณโรงพยาบาลบ้านนาเดิม มาสร้างใหม่บริเวณตลาดเทศบาลบ้านนาในปัจจุบัน)
จนถึงปี พ.ศ. 2442 พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม ต่อมาเลื่อนยศเป็นพระยายมราช) สมุหเทศาภิบาล มณฑลนครศรีธรรมราช ได้มาตรวจราชการที่อำเภอลำพูน พิจารณาเห็นว่าการจัดการปกครองอำเภอลำพูน ยังไม่เหมาะสมเพราะไม่สะดวกต่อการเดินทางของประชาชนจึงได้แยกตำบลอีปันและตำบลพะแสง ตั้งเป็น อำเภอพะแสง แยกตำบลพนม ตั้งเป็น กิ่งอำเภอพนม ออกจากอำเภอลำพูน จนถึงปี พ.ศ. 2449 (ร.ศ.125) ย้ายศาลารัฐบาลมณฑล (ศร.) ชุมพร มาตั้งที่บ้านดอน เปลี่ยนชื่อมณฑลชุมพรเป็นชื่อ มณฑลสุราษฎร์ ตั้งศาลารัฐบาลมณฑลที่บ้านดอน เปลี่ยนชื่อเมืองไชยา เป็นเมืองสุราษฎร์ธานี และโอนอำเภอพะแสง(ต่อมาเปลี่ยนเป็นพระแสง) กิ่งอำเภอพนม และอำเภอลำพูน จากเมืองนครศรีธรรมราช มณฑลนครศรีธรรมราชมาขึ้นกับ เมืองสุราษฎร์ธานี จึงทำให้อำเภอลำพูน กิ่งอำเภอพนมและอำเภอพระแสง มาอยู่ในเมืองสุราษฎร์ธานี
สมัยเรียกชื่อ “อำเภอบ้านนา” จนถึงปี พ.ศ. 2460 (ร.ศ.136) กระทรวงมหาดไทยเปลี่ยนชื่อ อำเภอลำพูน เป็น “อำเภอบ้านนา” ตามชื่อตำบลที่ตั้งที่ว่าการเนื่องจากอยู่ใกล้สถานีรถไฟบ้านนา ประชาชน ส่วนใหญ่เรียกว่า “อำเภอบ้านนา” จนถึงปี พ.ศ.2465 (ร.ศ.141) กระทรวงมหาดไทยได้โอนตำบลบางเบา ตำบลกรูด จากอำเภอท่าโรงช้าง ตำบลเคียนซา ตำบลพ่วงพรหมครจากอำเภอพะแสงมาขึ้นกับอำเภอบ้านนา ทำให้มีตำบลเพิ่มขึ้นคือ 1. ตำบลบ้านนา 2. ตำบลท่าเรือ 3. ตำบลทุ่งเตา 4. ตำบลกอบแกบ (ลำพูน) 5. ตำบลนาสาร 6. ตำบลพรุพี 7. ตำบลท่าชี (น้ำพุ) 8. ตำบลทุ่งหลวง 9. ตำบลเวียงสระ 10. ตำบลบางเบา 11. ตำบลกรูด 12. ตำบลเคียนซา 13. ตำบลพ่วงพรหมคร 14. ตำบลตะปาน จนถึงปี พ.ศ. 2481 สมัยรัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยน ชื่อ สยาม เป็น ราชอาณาจักรไทย
สมัยเรียกชื่อ “อำเภอบ้านนาสาร” จนถึงวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2481 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอบ้านนาไปตั้งที่ตำบลนาสาร การย้ายในครั้งนั้นได้นำไม้ส่วนประกอบอาคารที่เป็นไม้ทั้งหมดจากอำเภอบ้านนาโดยบรรทุกรถไฟ และสร้างประกอบใหม่จึงทำให้อาคารที่ว่าการอำเภอบ้านนากับอำเภอบ้านนาสารมีลักษณะเหมือนกัน จนถึงปี พ.ศ. 2482 เปลี่ยนชื่ออำเภอบ้านนา โดยนำชื่อเดิม “บ้านนา”รวมกับสถานที่ตั้งตำบล“นาสาร” เป็นอำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย ต่อมาทางราชการได้พิจารณาเห็นว่าอำเภอบ้านนาสารมีท้องที่กว้างขวางมีประชากรมาก บางตำบลตั้งอยู่ห่างไกลจากที่ตั้งที่ว่าการอำเภอบ้านนาสารไม่สะดวกแก่การปกครองและการติดต่อราชการของประชาชนกระทรวงมหาดไทยจึงได้ปรับปรุงตั้งกิ่งอำเภอขึ้น